วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553

หลักสูตรเสือคาบดาบ


หัวเสือ : สัญลักษณ์ของอำนาจ ความเป็นเจ้าป่า เหี้ยมโหดต่อศัตรูของมัน
ดาบ : สัญลักษณ์การต่อสู้ ความแหลมคมของดาบ หมายถึงสติปัญญา อันเฉียบแหลมของทหารจู่โจม ที่จะสังหารข้าศึกได้อย่างเงียบกริบ รวดเร็ว และฉับพลัน
ช่อชัยพฤกษ์ : สัญลักษณ์ความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า อีกทั้งเป็นตัวอย่างและผู้นำที่ดี
ความมุ่งหมายของหลักสูตร
1. ให้มีความรู้ความสามารถในการรบแบบจู่โจม
2. ให้มีความอดทนต่อความเหนี่อยยากลำบาก
3. มีลักษณะความเป็นผู้นำสูง
4. สามารถนำหน่วยทหารขนาดเล็กอย่างมีประสิทธิภาพ









เสือคาบดาบ เป็นเครื่องหมายประดับหน้าอกเพื่อแสดงความสามารถ ความเป็นผู้นำหน่วย ความทรหด อดทน ของทหารที่สำเร็จการฝึกหลักสูตรจู่โจม ของกองทัพบก หลักสูตรจู่โจมถือว่าเป็นหลักสูตรการฝึกที่ถือว่ามีความลำบากและเหนื่อยยากที่สุดของกองทัพบกเลยก็ว่าได้ หลักสูตรนี้มีความคล้ายกับหลักสูตรแรงเยอร์ ของกองทัพสหรัฐ ที่ทำการฝึกโดยโรงเรียนทหารราบ ศูนย์การทหารราบ สหรัฐ ค่ายเบนนิ่ง จอร์เจีย
หลักสูตรจู่โจม หลักสูตรที่โหดที่สุดในกองทัพบก สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการฝึกคือ เราต้องมีใจที่เด็ดเดี่ยวจะท้อไม่ได้ ต้องปฏิบัติภาระกิจให้สำเร็จตามที่ได้รับมอบ มีทหารหลายนายต้องออกจากการฝึกเหตุเพราะถอดใจ ขนาดรูปร่างหรือกล้ามใหญ่ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดในการฝึก หรือการรบ
ผู้ที่จะเข้ารับการศึกษาหลักสูตรจู่โจมต้องทำการทดสอบ ซิดอัพ 2 นาที , วิ่งชุดครึ่งท่อน 2ไมล์ (สนามทดสอบหินก้อนใหญ่มากครับ ถ้าสะดุดก็กลับบ้านได้เลย) และว่ายน้ำในแม่น้ำปราณบุรีเป็นระยะทาง 100 เมตร เพื่อให้ได้ตามจำนวนที่เปิดรับใน 10 สัปดาห์ ของหลักสูตร

ฝึกภาคที่ตั้ง 4 สัปดาห์แรก การฝึกในแต่ละวันเล่นเอานักเรียนจู่โจมกรอบหน้าตาอิดโรยอย่างเห็นได้ จำได้ว่าได้นอนบนโรงนอนเพียงไม่กี่วันก็โดนหลักสูตรชั้นนายร้อยทหารราบไล่ที่ต้องลงมากางเต้นส์นอน แม้ว่าจะนอนเพียงไม่กี่ชั่วโมงแต่เช้าต้องเข้าแถวรอรับตรวจแถว และรอตรวจเครื่องแต่งกาย และอาวุธประจำกาย ปลยบ.88 ที่แสนจะหนักอึ้ง
เสียงครูฝึกตะคอกใส่หน้า (ประจำทุกวัน) "รองเท้าไม่มัน " "ชุดยับ" "หนวดเครารุงรัง" ก็ว่ากันไปยังไงก็ต้องโดนอยู่แล้ว ความผิดทั้งหลายในแต่ละวันก็จะรวมมาออกกำลังกายรอบดึกก่อนนอน (เกือบสว่างแล้วละ) มีชุดเล็ก , ชุดกลาง ,ชุดยักษ์ แต่ชุดกาละมังนี่ไม่ค่อยไหวครับ แทบจะไม่ได้นอนทีเดียว
ในแต่ละวันก็มีโปรแกรมการเรียนการฝึกอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่กลัวที่สุดในตอนนั้นคือการโดนทำโทษ ซึ่งมีท่ามาตรฐานอยู่หลายท่า
พวกนั่งหลับโทษพื้นๆเลยคือ (ครูฝึกรุ่นน้องทหารราบ..เรียกมันว่า..ไอ้ยักษ์ ตัวมันใหญ่มาก) มันชอบเอานิ้วเกี่ยวจมูกแล้วดึงขึ้น โห..เจ็บปวด+แค้นมันจริงๆ
ท่า "สะแมนแตน" จังหวะ1 ครูเอามือซ้ายสับที่บ่าขวาของเราพร้อมทั้งหักมือตบหลังศีรษะอย่างแรงให้ดังๆเพื่อเพิ่มความน่ากลัว จังหวะ2 ครูจะเอามือขวาดันจมูกให้มาติดกับหน้าผาก ย้ำไม่ได้พิมพ์ผิด ดันจมูกให้มาติดกับหน้าผาก หน้าตาผู้รับการลงโทษจะยู่ยี้ยับไปหมด หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง
ต่อมาท่า "เบ็ดเสร็จ" เอาผู้กระทำความผิดไปที่ลับตาคน ได้ยินแต่เสียง โครมๆๆ โอ๊ยๆๆ อันนี้ไม่เคยโดนได้ยินแต่เสียง
สำหรับท่าไม่มาตรฐาน ก็มีตบ เตะ กระทืบก็ว่ากันไปตามกรรมของแต่ละคน
ต่อด้วย ภาคป่าเบื้องต้น ระยะเวลา 1 สัปดาห์
-ทดสอบวิ่ง 3 ไมล์ , 5 ไมล์ , บัดดี้รัน 800 เมตร ชุดจู่โจม , ทดสอบเดินเร็วชุดจู่โจม 17 ไมล์ (ทดสอบ 17 ไมล์ รุ่นก่อนหน้านี้ นักเรียนจู่โจมกอดปืนนั่งตายริมทาง เพราะอากาศร้อนเกินไป)
-ทดสอบกำลังใจ การไต่หน้าผา เลื่อนช่วยชีวิต สะพานเชือก ปล่อยตัวลงน้ำ สนามวิบาก
การโรยตัวจาก ฮ. ก็ไม่ต่างจากโรยตัวจากหน้าผาจำลองหรือหน้าผาจริงหรอก แต่นักเรียนบางคนทำเสียวเองเอาหัวทิ่มลง (เพราะเอาหน้าลง) แต่ถ้ามือกำเชือกไว้ยังไงก็ไม่หล่น สนุกสนานดี


ภาคทะเลและที่ลุ่ม ระยะเวลา 2 สัปดาห์
ภาคป่านชายเลนเป็นภาคที่โหดที่สุด บางปัญหาชุดผมใช้เวลาทั้งคืนในการเดินได้ระยะทางแค่ประมาณ 1-2 ก.ม. เท่านั้น รองเท้าที่จมเลนกับ ป่าโกงกาง และความมืด เป็นอุปสรรคอย่างดีในการทดสอบจิตใจจริงๆ เดินจนท้อ หน้าแข้งเจ็บระบมไปหมด ก็ต้องเดิน โชคดีที่ในชุดของผมมีมนุษย์กบมาด้วย (ในรุ่นนี้มีมนุษย์กบ 8 ตัว)

-ปัญหาที่ถูกครูปิดล้อมที่วัดเขาตระเครา จ.เพชรบุรี เสียนาฬิกาไป 1 เรือน ขายให้ร้านขายข้าวไป 300 บาท แลกกะข้าวกินกะเพื่อนๆ 10 คนมั้ง+พาหนี แอบในลังน้ำแข็งโดยรถส่งน้ำแข็ง(ครูคงรู้ละ รถคันนี้คงจะส่งทุกรุ่น) เจอครูตั้งด่านตรวจระหว่างทางก็โดดหนีลงข้างทางเข้าป่าชายเลน รอดหวุดหวิด ชุดที่ถูกจับก็เอาไปขนเสบียง(ก้อนหิน) ให้พวกเราไปซุ่มโจมตี (โธ่ นึกว่าของกิน) การผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่าการถูกหลอก(ครูหรือข้าศึกลวง)เป็นเรื่องปกติ



ต่อด้วยภาคทะเลเป็นวิชาทหารเรือ ได้มีโอกาสแบกเรือยางของทหารเรือก็งานนี้ละ โดยมีครูทหารเรืออยู่บนเรือ (จริงๆเขาเอาไว้พายหรือเปล่า?) ชุดไม่ต้องซักวิ่งจนแห้งไปเอง ปัญหาสำคัญคือทรายที่เข้าไปอยู่ในรองเท้าและกางเกงนี่ละ ทำเอาขาเปื่อยเลย (กางเกงในเก็บไปได้เลยไม่ต้องใส่)

และแล้วก็เข้าปัญหาอด ครูจะ (หลอก) พาขึ้นเรือไปทิ้งๆไว้เกาะ พอรู้ว่าเป็นปัญหาอดทุกคนก็แยกย้ายกันไปตามภูมิประเทศอยู่อย่างสงบมากๆๆ ทุกคนมีแต่กล่องดำรงชีพคนละ 1 กล่อง กับน้ำ 2 กระติก ตื่นเช้าก็ออกกำลังกายประกอบอาวุธ ( ไม่มีแรงจะยกปืนแล้ว ไม่ได้กินข้าว คิดได้ยังไงนะ ) แล้วก็ไปแอบหลบแดดตามพุ่มไม้อีก พอสายๆ ไม่น่าเชื่อครับ พบสมบัติครับ เป็นหัวมันฝรั่งฝังไว้ในทะเล โอ้โห รอดตายแล้วพวกเรา พอข่าวแพร่กระจายเท่านั้นละ ความวุ่นวายบังเกิดเลยครับ สรุปแล้วแบ่งกันได้หัวมันคนละ 1 ชิ้น เท่าหัวแม่มือนะครับ ในวันต่อมาก่อนที่นักเรียนจู่โจมรุ่นนี้จะขาดใจตายก็มีเรือมารับครับ ป่าว อย่านึกว่าใจดีพาเข้าฝั่งนะครับ เอาไปปล่อยไว้กลางทะเลให้ว่ายน้ำเข้าฝั่ง อืม..เอาซิ ลอยเข้ามาอีก 2-3 ช.ม. ทรมานมากเลย ฉี่ในน้ำไม่ออก ในที่สุดก็ผ่านภาคทะเลได้ แฮ๊กๆๆๆๆ ( จริงๆต้องร้อง เอียยยยยยย........ยยยย )

ภาคป่า-ภูเขา ระยะเวลา 3 สัปดาห์
-การฝึกปัญหาตามสถานการณ์ การลาดตระเวณ , การซุ่มโจมตี , การเล็ดรอดหลบหนี
-ปัญหา 24 ชั่วโมง , 48 ชั่วโมง ,72 ชั่วโมง , 96 ชั่วโมง ปัญหาที่ประทับใจที่สุดคือปัญหาสุดท้าย ประลองยุทธ โดยแบ่งนักเรียนจู่โจมออกเป็น 2 ฝ่ายรบกันเอง ในภาคนี้ได้เรียนรู้เรื่องการรบเยอะแม้ว่าจะไม่เก่งเท่ากับทหารราบตัวจริง เป็นการสรุปใช้งานทุกเรื่องที่ได้เรียนมา

ช่วงที่ไปตั้งฐานที่โกรธมากๆเลยคือ ข้าศึกชอบเข้าตีฐานตอนกินข้าว กะครูแกล้งวิ่งมาเตะหม้อข้าวกระจายหมด อดกิน


วันสุดท้ายของการฝึกคือเดินทางวนกลับมาจนบรรจบที่ ศูนย์การทหารราบ แม้ว่าจะหมดแรงแต่พอเห็นเขานกกระจิบ ก็รู้ว่าใกล้ถึงจุดสุดท้ายของหลักสูตรแล้ว ยังไงก็ต้องจบ ต้องจบ ๆๆๆ เป้ที่ใส่ สัมภาระกะวิทยุสื่อสารก็ถ่วงจนลิ้นห้อยเพราะต้องช่วยกันแบก (ไม่เข้าใจว่าสร้าง วิทยุสื่อสารที่มันน้ำหนักเบาๆได้ใหม) หลังจากทุกกองร้อยกลับมารวมตัวกันครบแล้วก็ได้รับการประดับเข็มจู่โจมติดที่หน้าอกเสื้อที่อนุสาวรีย์ จอมพลสฤษด์ ธนะรัชต์ ในตอนนั้นเลย

ผมได้เรียนรู้มีทั้งภูมิใจ ดีใจ เสียใจ ผิดหวัง ท้อแท้ มิตรภาพ มีการช่วยเหลือ ความขัดแย้ง มีความเห็นแก่ตัวของบางคน แต่เรามีภาระกิจที่จะต้องทำให้สำเร็จร่วมกัน เป็นภาระกิจที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชา

เฮ้อจบซะที นึกถึงกล้วยทอด นึกถึงอาหารอร่อยๆที่จดบันทึกไว้ระหว่างการฝึก คิดถึงบ้าน เป็นหลักสูตรที่ภูมิใจที่สุดในชีวิต เหนื่อยจริงๆสำหรับเสือตัวเล็ก และต้องยกความดีส่วนหนึ่งให้ ผู้กอง "โต๋" (ปัจจุบันเป็นนักบิน ทบ.) บัดดี้ที่น่าหมั่นใส้+น่ารัก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น